วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ฟังก์ชัน Excel


RAND (ฟังก์ชัน RAND)

ฟังก์ชันนี้ใช้สำหรับการหาค่าของตัวเลขสุ่ม โดยการใช้งานของฟังก์ชันนี้จะสุ่มตัวเลขขึ้นมาโดย
อัตโนมัติทำให้เราจะได้ค่าตัวเลขที่ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ว่ามันจะสุ่มอะไรให้ รูปแบบการใช้งานเป็นดังนี้

                rand([ค่าต่ำสุดที่ต้องการให้สุ่ม ,  ค่าสูงสุดที่ต้องการให้สุ่ม])
ตัวอย่าง :
ข้อมูลที่ A1:B19 แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ A, B, C แต่ละสมาชิกกลุ่มมีมูลค่ากำกับตามภาพด้านล่าง ต้องการสุ่มโดย
1. สุ่ม A มา 1 ค่า
2. สุ่ม B มา 2 ค่า
3. สุ่ม C มา 3 ค่า
แล้วนำค่าที่ได้จากการสุ่มมารวมกัน

เราสามารถใช้สูตรในการสุ่มได้ดังนี้
1. ที่ C2 คีย์สูตร
=RAND()
Enter > Copy ลงด้านล่าง
2. ที่ E2:E4 คีย์ A, B และ C ตามลำดับ
3. ที่ F2:F4 กรอกจำนวนที่ต้องการสุ่มแต่ละค่า
4. ที่ F5 คีย์สูตรเพื่อรวมจำนวนรายการที่ต้องสุ่ม
=SUM(F2:F4)
Enter
5. ที่ G2 คีย์สูตรเพื่อใช้หาบรรทัดที่เริ่มของแต่ละ Group
=SUM(F$2:F2)-F2+1
Enter > Copy ไปถึง G4
6. ที่ I2 คีย์สูตรเพื่อ List รายชื่อ Group
=IF(ROWS(I$2:I2)>$F$5,””,LOOKUP(ROWS(I$2:I2),$G$2:$G$4,$E$2:$E$4))
Enter > Copy ลงด้านล่าง
7. ที่ J2 คีย์สูตรเพื่อหา Value ที่ได้จากการสุ่ม
=IF(I2=””,””,INDEX($B$2:$B$16,MATCH(SMALL(IF($A$2:$A$16=I2,$C$2:$C$16),COUNTIF(I$2:I2,I2)),IF($A$2:$A$16=I2,$C$2:$C$16),0)))
Ctrl+Shift+Enter > Copy ลงด้านล่าง
8. กดแป้น F9 เพื่อสุ่มค่าตามต้องการ


IF (ฟังก์ชัน IF)

IF เป็นตัวค้นหาที่มี 2 ทางเลือกคือถูกกับผิด
การทำงานของ IF เหมือนกับการตั้งใจซื้อของขวัญเป็นชุดกาแฟสักชุดแล้วมีเงื่อนไข(IF)คือ
               1. กระเป๋าตังใบนี้ต้องไม่แพงเกิน 1000 บาท
2. จ้างเขาห่อเป็นของขวัญด้วยเลย ซึ่งเราจะใช้ IF ตรวจสอบเงื่อนไขที่ 1 ว่าเป็นจริงหรือไม่ (TRUE/FALSE) แล้วค่อยทำตามเงื่อนไขที่ 2

นั่นก็คือ ถ้ากระเป๋าตังราคา 999 บาท คือเงื่อนไขเป็นจริง(True) ก็ให้ทำตามทางเลือกที่เป็นจริง, แต่ถ้ากระเป๋าตังนี้แพงกว่า 1000 คือเงื่อนไขราคาเป็นเท็จ (False)ก็ให้ทำตามทางเลือกที่เป็นเท็จ

ตัวอย่าง :



1. จากรูป Figure A เงื่อนไขคือ ถ้าคะแนนสอบ (คอลัมท์ C) มากกว่าหรือเท่ากับ 50 ให้ฟังก์ชัน IF คืนค่าคำว่า "สอบผ่าน" แต่ถ้าคะแนน (คอลัมภ์ C) น้อยกว่า 50 ให้คืนค่าคำว่า "ต้องซ่อม"
2. เป็นการใช้ฟังก์ชัน IF แบบชั้นเดียว
3. Column D เป็นผลลัพท์ของฟังก์ชัน IF ส่วน Column E แสดงรูปแบบฟังก์ชั่นที่ใช้



IFERROR (ฟังก์ชัน IFERROR)

IFERROR ทำหน้าที่คล้าย IF เพียงแต่เพิ่มศักยภาพการจัดการกับข้อมูลได้กว้างขึ้นและตรวจสอบความถูกต้องไปพร้อมๆ กัน

ตัวอย่าง :
 


จากตัวอย่างกำหนดให้ Dis.Price เป็นราคาสุทธิที่หักส่วนลด (Dis.) ตามเปอร์เซนต์ที่กำหนดไว้โดยให้ Price เป็นราคาฐานที่ใช้คำนวณส่วนลด และถ้าสินค้าชนิดใดไม่มีส่วนลด (Dis.) ให้ใช้ราคาปกติ (Price) ซึ่งจะแสดงสูตรที่ใช้ในคอลัมท์ Formula in Dis.Price




CHAR (ฟังก์ชัน CHAR)

ฟังก์ชั่น CHAR เป็นฟังก์ชั่นประเภทข้อความ ทำหน้าที่ คืนอักขระที่ระบุด้วยตัวเลขให้ใช้ CHAR เพื่อแปลหมายเลขหน้ารหัสที่คุณอาจจะได้จากแฟ้มบนคอมพิวเตอร์ชนิดอื่นๆ ให้เป็นอักขระ

รูปแบบสูตร คือ CHAR(number)
Number คือ ตัวเลขที่มีค่าระหว่าง 1 และ 255 ใช้ระบุอักขระที่ต้องการ ซึ่งเป็นอักขระที่มาจากชุดอักขระของคอมพิวเตอร์

ตัวอย่าง :


1. คลิกเซลล์ A2 แล้วพิมพ์ 66 และกด Enter
2. คลิกเซลล์ B2 แล้วพิมพ์ =char(a2) และกด Enter จะแสดงค่า B


3. คลิกเซลล์ A3 แล้วพิมพ์ 123 และกด Enter
4. คลิกเซลล์ B3 แล้วพิมพ์ =char(a3) และกดEnter จะแสดงค่า



DATEVALUE (ฟังก์ชัน DATEVALUE)

ปกติแล้ว Excel จะมีฟังก์ชั่นที่ชื่อว่า DATEVALUE ในการเปลี่ยนวันที่ในรูปแบบ Text ให้กลายเป็นรูปแบบ Date จริงๆ ที่เป็นตัวเลขอยู่แล้ว  แต่ฟังก์ชั่นนี้มีข้อจำกัดอยู่มาก คือ มันจะ Convert Text ได้แค่ในรูปแบบที่มันรู้จักเท่านั้น (ซึ่งมีไม่กี่แบบ คล้ายๆตอนที่เราพิมพ์ลงไปใน cell ปกติว่า 31/1/2014 หรือ 31-Jan-2014 หรือ 31-01-2014 แล้ว excel มันจะฉลาดแปลงเป็นวันที่ได้เอง)

ตัวอย่าง :



ฟังก์ชัน TEXT

                ฟังก์ชัน TEXT   ใช้ในการจัดรูปแบบตัวเลขและแปลงตัวเลขให้อยู่ในรูปแบบของข้อความ  โดยที่ฟังก์ชันนี้สามารถนำไปประยุกต์ด้วยการรวมข้อความอื่น ๆ กับตัวเลขที่เรา
ต้องการจัดรูปแบบได้

ตัวอย่าง




ฟังก์ชัน SMALL

คำอธิบาย
ส่งกลับค่าที่น้อยที่สุดในลำดับที่ k ในชุดข้อมูล ใช้ฟังก์ชันนี้ส่งกลับค่าด้วยตำแหน่งสัมพัทธ์ที่ระบุในในชุดข้อมูล

ไวยากรณ์

SMALL(array, k)

ไวยากรณ์ของฟังก์ชัน SMALL มีอาร์กิวเมนต์ดังต่อไปนี้

Array    (ต้องระบุ) คืออาร์เรย์หรือช่วงของข้อมูลตัวเลขที่คุณต้องการระบุค่าน้อยที่สุดลำดับที่ k

K    (ต้องระบุ) คือตำแหน่ง (นับจากค่าน้อยที่สุด) ในอาร์เรย์หรือช่วงข้อมูลที่จะส่งกลับ

ข้อสังเกต

ถ้า array ว่างเปล่า ฟังก์ชัน SMALL จะส่งกลับค่าความผิดพลาด #NUM! เป็นค่าความผิดพลาด

ถ้า k ≤ 0 หรือถ้า k เกินกว่าจำนวนจุดข้อมูล ฟังก์ชัน SMALL จะส่งกลับ #NUM! เป็นค่าความผิดพลาด

ถ้า n เป็นจำนวนของจุดข้อมูลในอาร์เรย์ ฟังก์ชัน SMALL(array,1) จะเท่ากับค่าที่น้อยที่สุด และฟังก์ชัน SMALL(array,n) จะเท่ากับค่าที่มากที่สุด



ฟังก์ชัน DATE

          ฟังก์ชัน DATE ทำหน้าที่ แปลงวันที่ในรูปแบบที่กำหนดให้เป็นลำดับที่ของวันเดือนปีที่ระบุ โดยนับวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1900 เป็นวันเดือนปีในลำดับที่ 1

รูปแบบของฟังก์ชัน DATE เป็นดังนี้    =DATE(y ear,month,day)

เมื่อ      year    คือ      เป็นตัวเลขของปี ค.ศ. ระหว่าง 1900 ถึง 2078
Month คือ      เป็นตัวเลขของเลขที่ของเดือนในรอบปี (1 ถึง 12)
Day     คือ      เป็นตัวเลขของวันที่

ตัวอย่างการใช้งาน
เมื่อใส่ฟังก์ชัน =DATE(98,9,23) ลงในเซลใดๆ ผลลัพธ์ที่ได้จะเท่ากับ 36061 หมายถึง วันที่ 23 เดือนกันยายน ค.ศ. 1998 เป็นวันในลำดับที่ 36061



ฟังก์ชัน COLUMN

ฟังก์ชัน COLUMN ทำหน้าที่ จะส่งคืนหมายเลขคอลัมน์ของการอ้างอิงเซลล์ หากข้อมูลอ้างอิงเป็นเซลล์หนึ่งเซลล์ ฟังก์ชันจะส่งคืนหมายเลขคอลัมน์ของเซลล์ หากพารามิเตอร์เป็นพื้นที่เซลล์ ฟังก์ชันจะส่งคืนหมายเลขคอลัมน์ที่เกี่ยวข้องใน อาร์เรย์ แบบแถวเดียว หากป้อนสูตรเป็นสูตรอาร์เรย์ หากไม่ได้ใช้ฟังก์ชัน COLUMN ที่มีพารามิเตอร์การอ้างอิงพื้นที่กับสูตรอาร์เรย์ ระบบจะส่งคืนเฉพาะหมายเลขคอลัมน์ของเซลล์แรกสุดภายในพื้นที่เท่านั้น

ไวยากรณ์                  =COLUMN(reference)

เมื่อ      Reference      หมายถึง          ข้อมูลอ้างอิงของเซลล์หรือพื้นที่เซลล์ที่มีคอลัมน์แรกที่พบ
หากไม่ได้ป้อนข้อมูลอ้างอิง ฟังก์ชันจะแสดงหมายเลขคอลัมน์ของเซลล์ที่ป้อนสูตร Lotus Symphony Spreadsheets จะตั้งข้อมูลอ้างอิงให้เซลล์ปัจจุบันโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่างการใช้งาน
=COLUMN(A1) เท่ากับ 1 คอลัมน์ A เป็นคอลัมน์แรกสุดในตาราง
=COLUMN(C3:E3) เท่ากับ 3 คอลัมน์ C เป็นคอลัมน์ที่สามในตาราง
=COLUMN(D3:G10) เท่ากับ 4 เนื่องจากคอลัมน์ D เป็นคอลัมน์ที่สี่ในตารางและไม่ได้ใช้ฟังก์ชัน COLUMN เป็นสูตรอาร์เรย์ (ในกรณีนี้ ระบบจะใช้ค่าแรกสุดของอาร์เรย์เป็นผลลัพธ์เสมอ)
{=COLUMN(B2:B7)} และ =COLUMN(B2:B7) จะเท่ากับ 2 ทั้งคู่ เนื่องจากในข้อมูลอ้างอิงมีคอลัมน์ B เป็นคอลัมน์ที่สองในตารางอยู่เพียงคอลัมน์เดียวเท่านั้น เนื่องจากพื้นที่แบบมีคอลัมน์เดียวมีหมายเลขคอลัมน์เพียงหมายเลขเดียว การใช้หรือไม่ใช้สูตรเป็นสูตรอาร์เรย์จึงไม่แตกต่างกัน
=COLUMN() เท่ากับ 3 หากป้อนสูตรไว้ในคอลัมน์ C
{=COLUMN(Rabbit)} จะส่งคืนอาร์เรย์ (3, 4) ซึ่งมีแถวเดียว หาก "Rabbit" คือชื่อของพื้นที่ (C1:D3)


ฟังก์ชัน UPPER

ฟังก์ชัน UPPER จะตรงข้ามกับฟังก์ชัน LOWER โดยฟังก์ชั่น UPPER จะแปลงข้อความทั้งหมดให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่

ตัวอย่างการใช้ฟังก์ชัน


วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

วิธีการใช้งานโปรแกรม Firefox


   หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการติดตั้ง Firefox มาแล้ว รูปร่างหน้าตา เมนู และปุ่มอาจดูแปลกตาไปบ้าง เช่น เมนู Bookmark ของ Firefox คือ Favorite ของ Internet Explorer นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดที่เหลือ ซึ่งจะแสดงดังรูป




Search Bar แถบที่ทำให้ค้นหาข้อมูลได้สะดวกขึ้น
สำหรับท่านที่ยังไม่เคย ใช้ Firefox หรือ Internet Explorer มาก่อน จะเห็นว่าตรง Address bar จะมีการแบ่งเพื่อใส่ Search bar ไปด้วย ซึ่งอาจทำให้รู้สึกไม่คุ้นเคย แต่ว่าเจ้าตัวนี้แหละที่จะทำให้คุณค้นหาข้อมูลจากเว็บได้สะดวกขึ้น เพราะเพียงแค่พิมพ์ คำค้นหา ที่ต้องการใส่ในช่อง Search bar นี้แหละ จากนั้น Firefox ก็จะทำการค้นหาจาก Google ให้ทันที นับว่าสะดวกจริง ๆ
Address Bar จริง ๆ เราอาจเห็นว่ามันเป็นแค่ ช่องที่มีไว้ให้ป้อน ที่อยู่เว็บ เหมือนโปรแกรมทั่ว ๆ ไป ที่แสนจะธรรมดา หากคุณคิดแบบนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้วก็ไม่ผิด ไม่มีคนค้านคุณด้วย แต่หลังจาก Firefox 1.0 เป็นต้นมา คุณสามารถพิมพ์ชื่อเว็บเป็นภาษาไทยได้ เช่น พิมพ์คำว่า กิมหยง Firefox ก็จะเปิดเว็บ www.gimyong.com มาให้ นี่คือความสามารถ ที่ทำให้ Firefox สามารถพิมพ์ชื่อเว็บภาษาไทย

Tab Browser ความสะดวกในหน้าต่างเดียว
ความสะดวกอีกอย่างของ Firefox คือ Tab ที่ทำให้สะดวกหากเปิดเว็บพร้อม ๆ กันหลาย ๆ เว็บในหน้าต่างบานเดียว คุณไม่ต้องเปิดโปรแกรม ท่องเว็บหลาย ๆ ครั้งเพื่อเปิดหลาย ๆ เว็บ ในหัวข้อนี้มี Clip Video จากเว็บ www.firefoxflicks.com มาให้ดูกับ อาจทำให้คุณเห็นภาพชัดเจนขึ้น คลิกเพื่อชม Clip Video  






การปรับแต่ง Firefox เอา Bookmarks Toolbar ออก

              เริ่มต้นของ Firefox จะมี Bookmarks Toolsbar มาด้วย (แถบที่อยู่ในกรอบสีแดง) แต่หากคุณไม่ชอบมัน ต้องการจะเอาออกทำให้มีพื้นที่ ดูเนื้อหาเว็บเพิ่มขึ้น รูปซ้ายจะมี Bookmarks Toolbar ส่วนรูปขวา เป็นรูปที่เอา Bookmarks Toolbar ออกแล้ว

 



 วิธีการปรับ ให้คลิก เมนู View ----> Toolsbar ----> Bookmarks Toolbar ดังรูป
 


การปรับแต่งให้ Icons บน Toolsbar มีขนาดเล็ก
หากต้องการปรับแต่ง Icons บน Toolbar จากที่มีขนาดใหญ่ ให้เหลือขนาดเล็ก ๆ กระทัดรัด คุณสามารถปรับได้ด้วยวิธีง่าย ๆ
เริ่มต้น คลิกที่ View -----> Toolbars -----> Customize




 จากนั้นจะปรากฎหน้าต่าง Customize Toolbar ให้คลิกตรง Use Small Icons ดังรูป




Icons บน Toolbar ก็จะมีขนาดเล็กลง รูปซ้ายเป็น Icons ก่อนปรับจะมีขนาดมาตรฐาน รูปขวามือ Icons หลังจากปรับขนาดแล้ว

หลังการปรับแต่ง Icons ให้มีขนาดเล็กลงแล้ว ทำให้เรามีพื้นที่แสดงเนื้อหาเว็บ เพิ่มขึ้นมาอีก ทำให้ Firefox ดูเล็กกระทัดรัดขึ้นด้วย








การปรับเปลี่ยนเว็บเริ่มต้น (Home Page) ของ Firefox

               จะสังเกตได้ว่า พอเราเปิด Firefox ขึ้นมานั้น จะมีหน้า Firefox Start ของ Google ขึ้นมาทุกครั้ง หากต้องการเปลี่ยนเป็นเว็บอื่น หรือไม่ต้องการ ให้ Firefox เปิดหน้าใดใด ขึ้นมาเลยก็สามารถทำได้ โดยการคลิก Tools -----> Options . . . จะปรากฎหน้าต่าง Options ดังรูป


               หากต้องการให้ Firefox เปิดแต่หน้าว่าง ๆ ขึ้นมา ให้เราปรับ ช่อง When Firefox starts เป็น Show a blank page แต่หากต้องการ ปรับให้ Firefox เปิดตามหน้าที่เราต้องการ ก็สามารถทำได้โดยการ เลือก ช่อง When Firefox starts เป็น Show my home page จากนั้นก็ป้อนที่อยู่เว็บ URL ในช่อง Home Page

วิธีการติดตั้ง Firefox

Firefox ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ๆ ในต่างแดน โดยเฉพาะทางฝั่งยุโรป และอเมริกา จนทำให้มียอดการดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 312,695,090 ครั้ง จึงขอยืนยันว่า Firefox มีดีกว่า Internet Explorer อย่างที่คุณคาดไม่ถึง

การดาวน์โหลด Firefox
อย่าง ที่บอกไว้ในบทความก่อนหน้านี้ Firefox ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ๆ ในต่างแดน โดยเฉพาะทางฝั่งยุโรป และอเมริกา จนทำให้มียอดการดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 312,695,090 ครั้ง จึงขอยืนยันว่า Firefox มีดีกว่า Internet Explorer อย่างที่คุณคาดไม่ถึง หากสนใจลองเข้า ไปโหลดได้ที่ ซึ่งจะเป็นหน้าดาวน์โหลด Firefox รุ่นล่าสุด ดังรูป




การติดตั้ง Firefox
Firefox เป็นโปรแกรมท่องเว็บขนาดเล็ก มีขนาดเพียง 5.6 MB เอง ซึ่งใช้เวลาในการดาวน์โหลดแค่ไม่กี่อึดใจ หลังจากดาวน์โหลดเสร็จแล้ว จะได้ไอค่อนเพิ่มขึ้นอีก 1 ตัว ดังรูป



การติดตั้ง Firefox ก็เหมือนกับการติดตั้งโปรแกรมทั่วไป แค่ดับเบิ้ลคลิก จากนั้นก็คลิก Next . . . ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เสร็จ (แต่หากมีความรู้ภาษาอังกฤษ ควรอ่านรายละเอียดด้วย) จนถึงขั้นตอนสุดท้ายจะแสดงรายละเอียดดังรูป




ขั้นตอนสุดท้ายของการติดตั้ง Firefox จะให้เราเลือกที่จะเปิดโปรแกรมเลย (แต่หากยังไม่พร้อมที่จะเปิด Firefox
ให้เอาเครื่องหมายถูกออกจากหัวข้อ ) เมือคลิกปุ่ม Finish เราก็จะเริ่มต้นการใช้งาน Firefox ดังรูป





จากรูป Firefox จะให้เราเลือกว่าต้องการนำข้อมูลส่วนตัว เช่น Favorite ประวัติการเข้าเว็บ หรือ รหัสผ่าน เป็นต้น
ขอแนะนำว่า หากคุณบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ไว้ บนโปรแกรม Internet Explorer ก็ควรจะ เลือกนำเข้าจาก Internet Explorer
เพื่อสามารถมาใช้งานได้ใน Firefox เมื่อเลือกแล้วคลิกปุ่ม Next คุณจะเห็นหน้าตาของ Firefox พร้อมด้วยรายละเอียดดังรูป





จากรูปโปแกรมจะถามให้เกี่ยวกับการปรับให้เป็นโปรแกรมเปิดเว็บโปรแกรมหลัก อันนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณละครับ เมื่อเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ก็จะเข้าสู่โปรแกรม Firefox ดังรูป

เกี่ยวกับ Firefox


โปรแกรม Firefox web browser

 



เว็บเบราเซอร์ (Web Browser) หรือ "โปรแกรมค้นดูเว็บ"

               พูด ง่ายๆก็คือโปรแกรมเอาไว้ท่องเว็บนั่นล่ะ พูดให้ง่ายกว่านี้อีกก็คือโปรแกรมที่คุณเปิดอยู่ตอนนี้นั่นล่ะ....เค้าเรียก ว่า Web Browser  ปัจจุบันตลาดผูกขาดอยู่กับ Internet Explorer ที่ติดมากับ Windows ในเฉพาะประเทศไทย ก็ล่อเข้าไปร่วม 80-90% แล้ว

ซึ่ง หลายคนก็เข้าใจผิดไปอีกว่าในโลกนี้มีแค่ Internet Explorer เจ้าเดียวแท้ทีจริงแล้วมีอีกบานหทัย ที่ดังๆก็คือ Mozilla Firefox, Opera, Safari ฯลฯ


Firefox มันดีอย่างไร ?
 
อัพ เดตตัวโปรแกรมอัตโนมัติ ดังนั้นทันทีที่เจอข้อผิดพลาดของโปรแกรมก็จะมี Patch มาให้อัตโนมัติทันที ใช้ Tabbed Browsing ทำให้ถึงคุณจะเปิดกี่สิบกี่ร้อยเว็บ มันก็จะอยู่เพียงแค่ในหน้าต่างเดียวเท่านั้น ระบบ block ป๊อปอัพ ทำให้พวกป๊อปอัพโฆษณาบ้าบอคอแตก ไม่มีสิทธิ์ได้ผุดได้เกิด มี Search Bar มันง่ายมากที่จะทำให้ การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องที่ง่ายดาย รองรับ Live Bookmarks (พวก RSS, Atom )นั่นทำให้คุณไม่พลาดการอัพเดตข่าวสารของโลก

ใช้แล้วไม่ต้องกลัวว่าพอไปเข้าเว็บโป๊ แล้วจะติด Virus, Spyware
แถมยังไม่ถูกเมียจับได้อีกตั้งหาก ว่าไปเข้าเว็บโป๊มา เพราะมันเคลียร์ประวัติ, เคลียร์คุกกี้, เคลียร์รหัสผ่านได้อย่างง่ายดายมาก  มี Extension เป็นพันๆแบบ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือ ที่จะทำให้เราผ่อนแรงในการท่องเว็บไซต์ได้อย่างดี เช่น เช็คเมล์โดยที่ไม่ต้องล็อกอินผ่านเว็บ, กำจัดป้ายโฆษณาทั้งหลายแหล่บนอินเทอร์เน็ต, เครื่องมือแก้ไข CSS, HTML โดยไม่ต้องไปพึ่ง Dreamweaver ให้เมื่อยตุ้ม

มี Theme เป็นร้อยๆแบบ (Theme คือหน้ากากโปรแกรมนั่นเอง ท่านสามารถเปลี่ยนหน้ากากได้เพื่อให้สีสันไม่จืดชืด )

            แสดงผลเว็บไซตืได้ถูกต้อง ตามมาตรฐานของ W3C  มี ระบบ Phishing Protection คือระบบป้องกันเว็บไซต์หลอกลวง เช่นหลอกให้กรอกรหัสผ่าน แล้วเอารหัสผ่านที่ได้มาขายเรา เป็นเว็บพวกนี้เป็นแหล่งของอาชญากรรมทางไซเบอร์ ซึ่งไม่สมควรจะมีอยู่ ระบบค้นหาคำอัจฉริยะใน Search Bar เช่น เมื่อพิมพ์คำว่า "Fir" เพียงแค่นี้ มันก็จะขึ้น "Firefox" มาให้เราโดยอัตโนมัติ
             
             ถึงจะปิด Firefox ไปแล้ว แต่งานดาวน์โหลดจะยังไม่เสร็จ ก็ยังเปิดมาโหลดที่ค้างต่อได้ ถ้าโปรแกรมเกิดเจ๊ง แล้วต้องดับลง เปิดขึ้นมาใหม่ เว็บเดิมก็จะยังอยู่ ข้อมูลที่พิมพ์ก็ยังอยู่ งานดาน์โหลดก็ยังอยู่
ระบบเช็คคำที่พิมพ์ผิด เช่นพิมพ์ไปว่า windiw ก็จะปรากฏเป็นเส้นสีแดงใต้ข้อความ พร้อมกันนั้นก็ยังแสดงคำว่า window ซึ่งเป็นคำที่พิมพ์สะกดได้ถูกต้องขึ้นมาด้วย 

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เทคนิคการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต

การสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต        
       ในโลกไซเบอร์สเปซมีข้อมูลมากมายมหาศาล การที่จะค้นหาข้อมูลจำนวนมากมายอย่างนี้เราไม่อาจจะคลิกเพื่อค้นหาข้อมูลพบได้ง่ายๆ  จำเป็นจะต้องอาศัยการค้นหาข้อมูลด้วยเครื่องมือค้นหาที่เรียกว่า Search Engine เข้ามาช่วยเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลมีมากมายหลายที่ทั้งของคนไทยและ   ถ้าเราเปิดไปทีละหน้าจออาจจะต้องเสียเวลาในการค้นหา และอาจหาข้อมูลที่เราต้องการไม่พบ การที่เราจะค้นหาข้อมูลให้พบอย่างรวดเร็วจึงต้องพึ่งพา Search Engine Site ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่ ผู้ใช้งานเพียงแต่ทราบหัวข้อที่ต้องการค้นหาแล้วป้อน คำหรือข้อความของหัวข้อนั้นๆ ลงไปในช่องที่กำหนด คลิกปุ่มค้นหา เท่านั้น รอสักครู่ข้อมูลอย่างย่อๆ และรายชื่อเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องจะปรากฏให้เราเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ทันที

การค้นหาข้อมูลมีกี่วิธี 
1. 
การค้นหาในรูปแบบ Index Directory
2. 
การค้นหาในรูปแบบ Search Engineการค้นหาในรูปแบบ Index Directory      วิธีการค้นหาข้อมูลแบบ Index นี้ข้อมูลจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าการค้นหาข้อมูลด้วย วิธีของ Search Engine โดยมันจะถูกคัดแยกข้อมูลออกมาเป็นหมวดหมู่ และจัดแบ่งแยก Site ต่างๆออก เป็นประเภท สำหรับวิธีใช้งาน คุณสามารถที่จะ Click เลือกข้อมูลที่ต้องการจะดูได้เลยใน Web Browser จากนั้นที่หน้าจอก็จะแสดงรายละเอียดของหัวข้อปลีกย่อยลึกลงมาอีกระดับหนึ่ง ปรากฏขึ้นมาให้เราเลือกอีกส่วนจะแสดงออกมาให้เลือกเยอะแค่ไหนอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของฐานข้อมูลใน Index ว่าในแต่ละประเภท จัดรวบรวมเก็บเอาไว้มากน้อยเพียงใด เมื่อคุณเข้าไปถึงประเภทย่อยที่คุณสนใจแล้ว ที่เว็บเพจจะแสดงรายชื่อของเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ ประเภทของข้อมูลนั้นๆออกมา หากคุณคิดว่าเอกสารใดสนใจหรือต้องการอยากที่จะดู สามารถ Click ลงไปยัง Link เพื่อขอเชื่อต่อทางไซต์ก็จะนำเอาผลของข้อมูลดังกล่าวออกมาแสดงผลทันที นอกเหนือไปจากนี้ ไซต์ที่แสดงออกมานั้นทางผู้ให้บริการยังได้เรียบเรียงโดยนำเอาSite ที่มีความเกี่ยว ข้องมากที่สุดเอามาไว้ตอนบนสุดของรายชื่อที่แสดง

การค้นหาในรูปแบบ Search Engine 
     
วิธีการอีกอย่างที่นิยมใช้การค้นหาข้อมูลคือการใช้ Search Engine ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่กว่า 70% จะใช้วิธีการค้นหาแบบนี้ หลักการทำงานของ Search Engine จะแตกต่างจากการใช้ Indexลักษณะของมันจะเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่มหาศาลที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป บน Internet ไม่มีการแสดงข้อมูลออกมาเป็นลำดับขั้นของความสำคัญ การใช้งานจะเหมือนการสืบค้นฐานข้อมูล อื่นๆคือ คุณจะต้องพิมพ์คำสำคัญ(Keyword) ซึ่งเป็นการอธิบายถึงข้อมูลที่คุณต้องการจะเข้าไป ค้นหานั้นๆเข้าไป จากนั้น Search Engine ก็จะแสดงข้อมูลและ Site ต่างๆที่เกี่ยวข้องออกมา

**** ข้อแตกต่างระหว่าง Index และ Search Engine
                คำตอบก็ คือวิธีในการค้นหาข้อมูลแบบ Index เค้าจะใช้คนเป็นผู้จัดรวบรวมและทำระบบฐานข้อมูลขึ้นมา ส่วนแบบ Search Engine นั้นระบบฐานข้อมูลของมันจะได้รับการจัดสร้างโดยใช้ Software ที่มี หน้าที่เกี่ยวกับงานทางด้านนี้โดยเฉพาะมาเป็นตัวควบคุมและจัดการ ซึ่งเจ้า Software ตัวนี้จะมี ชื่อเรียกว่า Spiders การทำงานข้องมันจะใช้วิธีการเดินลัดเลาะไปตามเครือข่ายต่างๆที่เชื่อมโยงถึง กันอยู่เต็มไปหมดใน Internet เพื่อค้นหา Website ที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ รวมทั้งยังสามารถตรวจสอบหาความเปลี่ยนแปลงของ ข้อมูลใน Site เดิมที่มีอยู่ ว่าที่ใดถูกอัพเดตแล้วบ้าง จากนั้นมันก็จะนำเอาข้อมูลทั้งหมดที่สำรวจเข้ามาได้เก็บใส่เข้าไปในฐานข้อมูลของตนอัตโนมัติ ยกตัวอย่างของผู้ให้บริการประเภทนี้เช่น Excite , Lycos Infoserch เป็นต้น การค้นหาด้วยวิธี Search Engine นั้นมักจะได้ผลลัพธ์ออกมากว้างๆชี้เฉพาะเจาะจงได้ยาก บางครั้งข้อมูลที่ ค้นหามาได้อาจมีถึงเป็นร้อยเป็นพัน Site แล้วมีใครบ้างหละที่อยากจะมานั้งค้นหาและอ่านดูที่จะเพจ ซึ่งคง ต้องเสียเวลาเป็นวันๆแน่ ซึ่งก็ไม่รับรองด้วยว่าคุณจะได้ข้อมูลที่คุณต้องการหรือไม่ ดังนั้นจิงมีหลักในการค้น หา เพื่อให้ได้ข้อมูลใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งจะขอกล่าวในตอนหลัง

ประเภทของ Search Engine
Search Engine แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภทของSearch Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ดังนั้นการที่คุณจะเข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ Search นั้น อย่างน้อยคุณจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่คุณเข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป ที่นี้เราลองมาดูซิว่า Search Engine ประเภทใดที่เหมาะกับการค้นหาข้อมูลของคุณ

         1.  Keyword Index เป็นการค้นหาข้อมูล โดยการค้นจากข้อความในเว็บเพจที่ได้ผ่านการสำรวจมาแล้ว จะอ่านข้อความ ข้อมูล อย่างน้อยๆ ก็ประมาณ 200-300 ตัวอักษรแรกของเว็บเพจนั้นๆ โดยการอ่านนี้จะหมายรวมไปถึงอ่านข้อความที่อยู่ในโครงสร้างภาษา HTML ซึ่งอยู่ในรูปแบบของข้อความที่อยู่ในคำสั่ง alt ซึ่งเป็นคำสั่งภายใน TAG คำสังของรูปภาพ แต่จะไม่นำคำสั่งของ TAG อื่นๆ ในภาษา HTML และคำสั่งในภาษา JAVA มาใช้ในการค้นหา วิธีการค้นหาของ Search Engine ประเภทนี้จะให้ความสำคัญกับการเรียงลำดับข้อมูลก่อน-หลัง และความถี่ในการนำเสนอข้อมูลนั้น การค้นหาข้อมูล โดยวิธีการเช่นนี้จะมีความรวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร แต่หากว่าคุณต้องการแนวทางด้านกว้างของข้อมูล และความรวดเร็วในการค้นหา วิธีการนี้ก็ใช้ได้ผลดี
          2. Subject Directories การจำแนกหมวดหมู่ข้อมูล Search Engine ประเภทนี้ จะจัดแบ่งโดยการวิเคราะห์เนื้อหา รายละเอียด ของแต่ละเว็บเพจ ว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยการจัดแบ่งแบบนี้จะใช้แรงงานคนในการพิจารณาเว็บเพจ ซึ่งทำให้การจัดหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนจัดหมวดหมู่แต่ละคนว่าจะจัดเก็บข้อมูลนั้นๆ อยู่ในเครือข่ายข้อมูลอะไร ดังนั้นฐานข้อมูลของ Search Engine ประเภทนี้จะถูกจัดแบ่งตามเนื้อหาก่อน แล้วจึงนำมาเป็นฐานข้อมูลในการค้นหาต่อไป การค้นหาค่อนข้างจะตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และมีความถูกต้องในการค้นหาสูง เป็นต้นว่า หากเราต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ Search Engine ก็จะประมวลผลรายชื่อเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ล้วนๆ มาให้คุณ
           3. Metasearch Engines จุดเด่นของการค้นหาด้วยวิธีการนี้ คือ สามารถเชื่อมโยงไปยัง Search Engine ประเภทอื่นๆ และยังมีความหลากหลายของข้อมูล แต่การค้นหาด้วยวิธีนี้มีจุดด้อย คือ วิธีการนี้จะไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และมักจะผ่านเลยคำประเภท Natural Language (ภาษาพูด) ดังนั้น หากคุณจะใช้ Search Engine แบบนี้ละก็ ขอให้ตระหนักถึงข้อบกพร่องเหล่านี้ด้วย

หลักการค้นหาข้อมูลของ Search Enine
         สำหรับหลักในการค้นหาข้อมูลของ Search Engine แต่ละตัวจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าทางศูนย์บริการต้องการจะเก็บข้อมูลแบบไหน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีกลไกใน การค้นหาที่ใกล้เคียงกัน หากจะแตกต่างก็คงจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพเสียมากกว่า ว่าจะมีข้อมูล เก็บรวบรวมไว้อยู่ในฐานข้อมูลมากน้อยขนาดไหน และพอจะนำเอาออกมาบริการให้กับผู้ใช้ ได้ตรงตามความต้องการหรือเปล่า ซึ่งลักษณะของปัจจัยที่ใช้ค้นหาโดยหลักๆจะมีดังนี้

1. 
การค้นหาจากชื่อของตำแหน่ง URL ใน เว็บไซต์ต่างๆ
2. 
การค้นหาจากคำที่มีอยู่ใน Title (ส่วนที่ Browser ใช้แสดงชื่อของเว็บเพจอยู่ทางด้าน ซ้ายบนของหน้าต่างที่แสดง
3. 
การค้นหาจากคำสำคัญหรือคำสั่ง keyword (อยู่ใน tag คำสั่งใน html ที่มีชื่อว่า meta)
4. 
การค้นหาจากส่วนที่ใช้อธิบายหรือบอกลักษณะ site
5. 
ค้นหาคำในหน้าเว็บเพจด้วย Browser    ซึ่งการค้นหาคำในหน้าเว็บเพจนั้นจะใช้สำหรับกรณีที่คุณเข้าไปค้นหาข้อมูลที่เว็บ เพจใด เว็บเพจหนึ่ง แล้วภายในมีข้อความปรากฏอยู่เต็มไปหมด จะนั่งไล่ดูทีละบรรทัดคงไม่สะดวก ในลักษณะนี้เราใช้ใช้ browser ช่วยค้นหาให้ ขึ้นแรกให้คุณนำ mouse ไป click ที่menu Edit แล้วเลือกบรรทัดคำสั่ง Find in Page หรือกดปุ่ม Ctrl + F ที่ keyboard ก็ได้ จากนั้นใส่คำที่ต้องการค้นหาลงไปแล้วก็กดปุ่ม Find Next โปรแกรมก็จะวิ่งหาคำดังกล่าว หากพบมันก็จะกระโดดไปแสดงคำนั้นๆ ซึ่งคุณสามารถกดปุ่ม Find Next เพื่อค้นหาต่อได้ อีกจนกว่าคุณจะพบข้อมูลที่ต้องการ
                                                                                                                                               
***เทคนิค 11 ประการที่ควรรู้ในการค้นหาข้อมูล 
         ในการค้นหาข้อมูลด้วย Search Engine ส่วนใหญ่แล้วปัญหาที่ผู้ใช้งานทั่วไปมักจะพบเห็น หรือประสบอยู่เสมอๆก็คงจะหนีไปไม่พ้นข้อมูลที่ค้นหาได้มีขนาดมากจนเกินไป ดังนั้นเพื่อ ความสะดวกในการใช้งานคุณจึงน่าที่จะเรียนรู้เทคนิคต่างๆเพื่อช่วยลดหรือ จำกัดคำที่ค้น หาให้แคบลงและตรงประเด็นกับเรามากที่สุด   ดังวิธีการต่อไปนี้
1.  
เลือกรูปแบบการค้นหาให้ตรงกับสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด(อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่ามีอยู่ 2แบบ)  ส่วนจะเลือกใช้วิธีไหนก็ตามแต่จะเห็นว่า เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการจะค้นหาข้อมูลที่มีลักษณะทั่วไป ไม่ชี้ เฉพาะเจาะจง ก็ควรเลือกบริการสืบค้นข้อมูลแบบ Index อย่างของ yahoo เพราะโอกาสที่จะเจอนั้น เปอร์เซ็นต์สูงกว่าจะมานั่งสุ่มหาโดยใช้วิธีแบบ Search Engine
2. 
ใช้คำมากกว่า คำที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกันช่วยค้นหา เพราะจะได้ผลลัพท์ที่มีขนาด แคบลงและชี้เฉพาะมากขึ้น (ย่อมจะดีกว่าหาคำเดียวโดดๆ) 
3. 
ใช้บริการของผู้ให้บริการเฉพาะด้าน เช่นการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวของ ภาพยนตร์ก็น่าที่จะเลือกใช้ Search Engine ที่ให้บริการใหล้เคียงกับเรื่องพวกนี้ เพราะผลลัพท์ที่ได้น่าจะเป็นที่น่าพอใจกว่า
4. 
ใส่เครื่องหมายคำพูดครอบคลุมกลุ่มคำที่ต้องการ เพื่อบอกกับ Search Engine ว่าเรา ต้องการผลการค้นหาที่มีคำในกลุ่มนั้นครบและตรงตามลำดับที่เราพิมพ์ทุกคำ เช่น "free shareware" เป็นต้น 
5. 
การขึ้นต้นของตัวอักษรตัวเล็กเท่ากันหมด Search Engine จะเข้าใจว่าเราต้องการ ให้มันค้นหาคำดังกล่าวแบบไม่ต้องสนใจว่าตัวอักษรที่ได้จะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ดังนั้นหากคุณต้องการอยากที่จะให้มันค้นหาคำตรงตามแบบที่เขียนไว้ก็ให้ใช้ ตัว อักษรใหญ่แทน 
6. 
ใช้ตัวเชื่อมทาง Logic หรือตรรกศาสตร์เข้ามาช่วยค้นหา มีอยู่ ตัวด้วยกันคือ - AND สั่งให้หาโดยจะต้องมีคำนั้นๆมาแสดงด้วยเท่านั้น! โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องติดกัน เช่น phonelink AND pager เป็นต้น - ORสั่งให้หาโดยจะต้องนำคำใดคำหนึ่งที่พิมพ์ลงไปมาแสดง - NOT สั่งไม่ให้เลือกคำนั้นๆมาแสดง เช่น food and cheese not butter หมายความว่า ให้ทำการหาเว็บที่เกี่ยวข้องกับ food และ cheese แต่ต้องไม่มี butterเป็นต้น
7. 
ใช้เครื่องหมายบวกลบคัดเลือกคำ + หน้าคำที่ต้องการจริงๆ - (ลบ)ใช้นำหน้าคำที่ไม่ต้องการ () ช่วยแยกกลุ่มคำ เช่น (pentium+computer)cpu
8. 
ใช้ * เป็นตัวร่วม เช่น com* เป็นการบอกให้หาคำที่มีคำว่า com ขึ้นหน้าส่วนด้านท้ายเป็น อะไรไม่สนใจ *tor เป็นการให้หาคำที่ลงท้ายด้วย tor ด้านหน้าจะเป็นอะไรไม่สนใจ 
9.หลีก เลี่ยงการใช้ตัวเลข พยายามเลี่ยงการใช้คำค้นหาที่เป็นคำเดี่ยวๆ หรือเป็นคำที่มีตัวเลขปน แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ คุณก็อย่าลืมใส่เครื่องหมายคำพูด (" ") ลงไปด้วย เช่น "windows 98"
10. หลีก เลี่ยงภาษาพูด หลีกเลี่ยงคำประเภท Natural Language หรือเรียกง่ายๆ ว่าคำหรือข้อความที่เป็นภาษาพูด หรือเป็นประโยค คุณควรสรุปเป็นเพียงกลุ่มคำหรือวลี ที่มีความหมายรวมทั้งหมดไว้ Advanced Search อย่าลืมที่จะใช้ Advanced Search เพราะจะมีส่วนช่วยคุณได้มาก ในการบีบประเด็นหัวข้อ ให้แคบลง ซึ่งจะทำให้คุณได้รายชื่อเว็บไซต์ ที่ตรงกับความต้องการของคุณมากขึ้น
11. 
อย่าละเลย Help ซึ่งในแต่ละเว็บ จะมี ปุ่ม help หรือ Site map ไว้คอยช่วยเหลือคุณ แต่คนส่วนใหญ่มักจะมองข้าม ซึ่ง help/site map จะมีประโยชน์มากในการอธิบาย option หรือการใช้งาน/แผนผังปลีกย่อยของแต่ละเว็บไซต์                                                                                                   



คำศัพท์เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต

คำศัพท์เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต

คำศัพท์ที่สาคัญ ในการศึกษาเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตที่ควรทราบ มีดังนี้

1. Website หมายถึง จานวนไฟล์หรือจานวนหน้าทั้งหมดของเว็บไซต์นั้นๆ

2. WebPages หมายถึง หน้าในแต่ละหน้าหรือไฟล์แต่ละไฟล์ที่ประกอบกันขึ้นรวมๆ กันกลายเป็นเว็บไซต์

3. Homepage หมายถึง หน้าแรกของเว็บเพจทั้งหมดที่ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตจะพบเมื่อเข้าไปยังเว็บไซต์ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าโฮมเพจเปรียบเสมือนสารบัญและคานาที่เจ้าของเว็บไซต์สร้างขึ้น นอกจากนี้โฮมเพจหนึ่งๆ อาจจะมีการเชื่อมกับเว็บเพจ อื่นๆ อีกจานวนมากได้

4. Web Browser หมายถึง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้สาหรับเป็นประตูเปิดสู่โลก WWW หรือก็คือโปรแกรมที่ใช้เล่นอินเทอร์เน็ตหรือโปรแกรมค้นดูเว็บ โดยเว็บเบราว์เซอร์จะเข้าใจและทางานตามคาสั่งของภาษา HTML โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีหลายโปรแกรม เช่น Windows Internet Explorer (IE), Netscape Navigator, Mozilla Firefox, Opera, Chrome เป็นต้น

5. Webmaster หมายถึง บุคคลที่ทาหน้าที่วางแผน ดูแล บริหาร และจัดการเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์นั้นๆ บรรลุวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้

6. ISP ย่อมาจาก Internet Service Provider หมายถึง ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หน้าที่หลักคือการให้บริการอินเทอร์เน็ต โดยจะรวมไปถึงบริการ Webhosting ซึ่งหมายถึง บริการให้เช่าพื้นที่ Website และผู้ที่ทาหน้าที่ดูแล Webboard สาธารณะ โดยอาจรวมถึง Webmaster ที่มีความรับผิดชอบโดยตรงกับข้อมูลที่ปรากฏบนเวบด้วย บริษัทที่เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เช่น บริษัท ล็อกซ์เล่ย์ อินฟอร์เมชั่น เซอร์วิส จากัด , บริษัท เคเอสซี คอมเมอร์เชียล อินเทอร์เน็ต จากัด, บริษัท อินโฟ แอคเซส จากัด, บริษัท สามารถ อินโฟเน็ต จากัด เป็นต้น

7. WWW ย่อมาจาก World Wide Web เป็นเทคนิคในการนาเสนอข้อมูลในลักษณะสื่อประสม ที่เป็นข้อความ ภาพ และมัลติมิเดียเข้าไว้ด้วยกัน อยู่ในรูปเอกสารแบบ Hypertext ซึ่งภายในเอกสารจะมีจุดเชื่อมโยง (link) ไปยังเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เอกสารต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันเหมือนใยแมงมุม เป็นที่มาของคาว่า Web

8. HTTP ย่อมาจาก HyperText Transfer Protocol เป็นโปรโตคอลสาหรับเปิดดูข้อมูลจาก www เรียกใช้งานได้โดยระบุ http:// และตามด้วย URL ในช่องกรอก Address ด้านบนของโปรแกรมเว็บบราวเซอร์

9. HTML ย่อมาจาก Hypertext Markup Language คือ ภาษามาตรฐานที่ใช้ในการสร้าง เว็บเพจ เพื่อนาไปแสดงผลในโปรแกรม Web browser เอกสารเว็บเพจจะมีนามสกุลเป็น .htm หรือ .html - 166 - เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้

10. TCP/IP ย่อมาจาก Transmission Control Protocol/Internet Protocol เป็นระบบโปรโตคอล การสื่อสารพื้นฐานของระบบอินเตอร์เน็ต สามารถใช้เป็น โปรโตคอลในการสื่อสารภายใน เครือข่ายส่วนบุคคล เรียกว่า intranet และ extranet ได้เมื่อมีการติดต่อโดยตรงกับ internet เครื่องคอมพิวเตอร์จะได้รับการคัดลอกโปรแกรม TCP/IP เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์อื่น ๆ เพื่อทาให้ส่งข้อความขอรับสารสนเทศ

11. WAP ย่อมาจาก Wireless Application Protocal เป็น Communication Protocal ที่มีพื้นฐานมาจาก Internet Protocal ซึ่ง WAP เป็นมาตรฐานเปิดของระบบการสื่อสารด้านข้อมูลไร้สาย การใช้งานอินเทอร์เน็ต ผ่านบริการของเครื่องมือสื่อสารไร้สาย อันได้แก่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ เครื่องมือสื่อสารไร้สาย อื่นๆ (โดยไม่ต้องมีโมเด็มหรือตัวแปลงสัญญาณอื่นๆ)

12. Wi-Fi ย่อมาจาก Wireless Fidelity เป็นศัพท์ของประเภทเครือข่ายท้องถิ่นไร้สาย (WLAN : Wireless Local Area Network)

13. GPRS ย่อมาจาก General Packet Radio Services เป็นบริการด้านการสื่อสารไร้สายแบบแพคเก็ตที่ยอมให้อัตราข้อมูลจาก 56 ถึง 114 kbps และการเชื่อมต่อเนื่องกับอินเตอร์เน็ตสาหรับผู้ใช้โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค GPRS มีพื้นฐานบนการสื่อสารแบบ Global System for Mobile (GSM)

14. EDGE (เอดจ์) ย่อมาจาก Enhance Data Rates for Global เป็นเทคโนโลยีมือถืออีกขั้นหนึ่งที่พัฒนาขึ้นจาก GPRS ใช้รับ-ส่งข้อมูลด้วยเครือข่ายไร้สายความเร็วสูง สูงกว่าระบบ GPRS ถึง 4 เท่าตัว จัดเป็นเทคโนโลยีระดับ 3 G ยุคต้น ๆ ส่วนจีพีอาร์เอสเรียกว่ายุค 2.5 G การใช้เทคโนโลยีเอดจ์นั้นจะทาให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการดาวน์โหลดวิดีโอคลิป ส่งข้อมูลมัลติมีเดีย และวิดีโอสตรีมมิ่งซึ่งอนาคต เรื่องวิดีโอ แชร์ริ่ง หรือการใช้มือถือถ่ายวิดีโอ ส่งผ่านให้เพื่อน ๆ ดูแบบเรียลไทม์ก็สามารถเกิดขึ้นได้จริง

15. เทคโนโลยี 3G เป็นเทคโนโลยีของโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่สาม หรือ Third Generation of Mobile Telephone หรือ เรียกย่อว่า 3G ตามหลักเกณฑ์ของ ITU (International Telecommunication Union) หรือ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ กาหนดมาตรฐานสิ่งที่เรียกว่า เครื่องโทรคมนาคมแบบเคลื่อนที่ ซึ่งรวมถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วย (อุปกรณ์โทรคมนาคมในยุคต่อไปอาจจะใช้รวมกันหลายชนิด ทั้งโทรศัพท์บ้าน โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือดาวเทียม เป็นต้น) เรียกรวมกันว่ามาตรฐาน IMT-2000 (International Mobile Telecommunications-2000)


ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ต ( Internet ) คือ เครือข่ายของคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมเครือข่าย ภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงด้วยโปรโตคอลเดียวกันคือ TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในอินเทอร์เน็ตสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ นับว่าเป็นเครือข่ายที่กว้างขวางที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีผู้นิยมใช้ โปรโตคอลอินเทอร์เน็ตจากทั่วโลกมากที่สุด




อินเทอร์เน็ตจึงมีรูปแบบคล้ายกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบ WAN แต่มีโครงสร้างการทำงานที่แตกต่างกันมากพอสมควร เนื่องจากระบบ WAN เป็นเครือข่ายที่ถูกสร้างโดยองค์กรๆ เดียวหรือกลุ่มองค์กร เพื่อวัตถุประสงค์ด้านใดด้านหนึ่ง และมีผู้ดูแลระบบที่รับผิดชอบแน่นอน แต่อินเทอร์เน็ตจะเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างคอมพิวเตอร์นับล้านๆ เครื่องแบบไม่ถาวรขึ้นอยู่กับเวลานั้นๆ ว่าใครต้องการเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตบ้าง ใครจะติดต่อสื่อสารกับใครก็ได้ จึงทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตไม่มีผู้ใดรับผิดชอบหรือดูแลทั้งระบบ



ความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต

อินเตอร์เน็ต มีพัฒนาการมาจาก อาร์พาเน็ต (Arp Anet เรียกสั้น ๆ ว่า อาร์พา) ที่ตั้งขึ้นในปี 2512 เป็นเครือข่ายคอมพิวเคอร์ของกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา ที่ใช้ในงานวิจัยด้านทหาร (ARP : Advanced Research Project Agency)มาถึงปี 2515 หลังจากที่เครือข่ายทดลองอาร์พาประสบความสำเร็จอย่างสูง และได้มีการปรับปรุงหน่วยงานจากอาร์พามาเป็นดาร์พา (Defense Advanced Research Project Agency: DARPA) และในที่สุดปี 2518 อาร์พาเน็ตก็ขึ้นตรงกับหน่วยการสื่อสารของกองทัพ (Defense Communication Agency)ในปี 2526 อาร์พาเน็ตก็ได้แบ่งเป็น 2 เครือข่ายด้านงานวิจัย ใช้ชื่ออาร์พาเน็ตเหมือนเดิม ส่วนเครือข่ายของกองทัพใช้ชื่อว่า มิลเน็ต (MILNET : Millitary Network) ซึ่งมีการเชื่อมต่อโดยใช้ โพรโตคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet) เป็นครั้งแรกในปี 2528 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติของอเมริกา (NSF) ได้ ให้เงินทุนในการสร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 6 แห่ง และใช้ชื่อว่า NSFNETและพอมาถึงปี 2533 อาร์พารองรับภาระที่เป็นกระดูกสันหลัง (Backbone) ของระบบไม่ได้ จึงได้ยุติอาร์พาเน็ต และเปลี่ยนไปใช้ NSFNET และเครือข่ายขนาดมหึมา จนถึงทุกวันนี้ และเรียกเครือข่ายนี้ว่า อินเตอร์เน็ต โดยเครือข่ายส่วนใหญ่จะอยู่ในอเมริกา และปัจจุบันนี้มีเครือข่ายย่อยมากถึง 50,000 เครือข่ายทีเดียว และคาดว่า ภายในปี 2543 จะมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั้งโลกประมาณ 100 ล้านคน หรือใกล้เคียงกับประชากรในโลกทั้งหมดสำหรับประเทศไทยนั้น อินเตอร์เน็ตเริ่มมีบทบาทอย่างมากในช่วงปี 2530-2535 โดยเริ่มจากการเป็นเครือข่ายในระบบคอมพิวเตอร์ระดับมหาวิทยาลัย (Campus Network) แล้วจึงเชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ตอย่างสมบูรณ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2535และ ในปี 2538 ก็มี การเปิดให้ บริการอินเตอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์ (รายแรก คือ อินเตอร์เน็ตเคเอสซี) ซึ่งขณะนั้น เวิร์ลด์ไวด์เว็บกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกาอย่างไรก็ตาม อินเตอร์เน็ต บางครั้งก็มีการเรียกย่อเป็น เน็ต (Net) หรือ The Net ด้วยเช่นเดียวกัน อีกคำหนึ่งที่หมายถึงอินเตอร์เน็ตก็คือ เว็บ (Web) และ เวิร์ลด์ไวด์เว็บ (World – Wide Web) (จริง ๆ แล้ว เว็บเป็นเพียงบริการหนึ่งของอินเตอร์เน็ตเท่านั้น แต่บริการนี้ ถือว่าเป็นบริการที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด


 อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย

         ประเทศไทยได้เริ่มติดต่อกับอินเทอร์เน็ตในปี พ.ศ. 2530 ในลักษณะการใช้บริการ จดหมายเล็กทรอนิกส์แบบแลกเปลี่ยนถุงเมล์เป็นครั้งแรก โดยเริ่มที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (Prince of Songkla University) และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียหรือสถาบันเอไอที (AIT) ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย (โครงการ IDP) ซึ่งเป็นการติดต่อเชื่อมโยงโดยสายโทรศัพท์ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2531 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ได้ยื่นขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย โดยได้รับที่อยู่อินเทอร์เน็ต Sritrang.psu.th ซึ่งนับเป็นที่อยู่อินเทอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาปี พ.ศ. 2534 บริษัท DEC (Thailand) จำกัดได้ขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตเพื่อใช้ประโยชน์ภายในของบริษัท โดยได้รับที่อยู่อินเทอร์เน็ตเป็น dect.co.th โดยที่คำ “th” เป็นส่วนที่เรียกว่า โดเมน (Domain) ซึ่งเป็นส่วนที่แสดงโซนของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย โดยย่อมาจากคำว่า Thailand
        กล่าวได้ว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตชนิดเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง ในประเทศไทยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2535 โดยสถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 9600 บิตต่อวินาที จากการสื่อสารแห่งประเทศไทยเพื่อเชื่อมเข้าสู่อินเทอร์เน็ตที่บริษัท ยูยูเน็ตเทคโนโลยี (UUNET Technologies) ประเทศสหรัฐอเมริกาในปีเดียวกัน ได้มีหน่วยงานที่เชื่อมต่อแบบออนไลน์กับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลายแห่งด้วยกัน ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ โดยเรียกเครือข่ายนี้ว่าเครือข่าย “ไทยเน็ต” (THAInet) ซึ่งนับเป็นเครือข่ายที่มี “ เกตเวย์ “ (Gateway) หรือประตูสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นแห่งแรกของประเทศไทย (ปัจจุบันเครือข่ายไทยเน็ตประกอบด้วยสถาบันการศึกษา 4 แห่งเท่านั้น ส่วนใหญ่ย้ายการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตโดยผ่านเนคเทค (NECTEC) หรือศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ)



ปี พ.ศ. 2535 เช่นกัน เป็นปีเริ่มต้นของการจัดตั้งกลุ่มจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษาและวิจัยโดยมีชื่อว่า "เอ็นดับเบิลยูจี" (NWG : NECTEC E-mail Working Group) โดยการดูแลของเนคเทค และได้จัดตั้งเครือข่ายชื่อว่า "ไทยสาร" (ThaiSarn : Thai Social/Scientific Academic and Research Network) เพื่อการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน โดยเริ่มแรกประกอบด้วยสถาบันการศึกษา 8 แห่ง ปัจจุบันเครือข่ายไทยสารเชื่อมโยงกับสถาบันต่างๆ กว่า 30 แห่ง ทั้งสถาบันการศึกษาและหน่วยงานของรัฐ


ปัจจุบันได้มีผู้รู้จักและใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น มีอัตราการเติบโตมากกว่า 100 % สมาชิกของอินเทอร์เน็ตขยายจากอาจารย์และนิสิตนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาไปสู่ประชาชนทั่วไป


การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ต

การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันทำได้หลากหลาย อาทิเช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเมล์ (e-Mail) , สนทนา (Chat), อ่านหรือแสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ด, การติดตามข่าวสาร, การสืบค้นข้อมูล / การค้นหาข้อมูล, การชม หรือซื้อสินค้าออนไลน์ , การดาวโหลด เกม เพลง ไฟล์ข้อมูล ฯลฯ, การติดตามข้อมูล ภาพยนตร์ รายการบันเทิงต่างๆ ออนไลน์, การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์, การเรียนรู้ออนไลน์ (e-Learning), การประชุมทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต (Video Conference), โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP), การอับโหลดข้อมูล หรือ อื่นๆแนวโน้มล่าสุดของการใช้อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้าง ซึ่งพบว่าปัจจุบันเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเช่น  และการใช้เริ่มมีการแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนุนให้การเข้าถึงเครือข่ายผ่านโทรศัพท์มือถือทำได้ง่ายขึ้นมาก


 ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ต

อินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนชุมชนเมืองแห่งใหม่ของโลก เป็นชุมชนของคนทั่วมุมโลก จึงมีบริการต่างๆเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา
1.ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์(Electronic mail=E-mail) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือE-mail
เป็นการส่งจดหมายผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตโดยผู้ส่งสสามารถส่งข้อความไปยังที่อยู่ของผู้รับ ในรูปแบบของอีเมล์ เมื่อผู้ส่งเขียนจดหมาย แล้วส่งไปยังผู้รับ ผู้รับจะได้รับจดหมายภายในเวลาไม่กี่วินาที แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลกก็ตาม นอกจากนี้ยังสามารถส่งแฟ้มข้อมูลหรือไฟล์แนบไปกับอีเมล์ได้ด้วย
2.กรขอเข้าระบบจากระยะไกลหรือเทลเน็ต(Telnet)เป็นบริการอินเน็ตรูปแบบหนึ่งโดยที่เราสามารถเข้าไปใช้งานคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ไกลๆได้ด้วยตนเอง เช่น ถ้าเราอยู่ที่โรงเรียนทำงานโดยใช้อินเตอร์เน็ตของโรงเรียนแล้วกลับไปที่บ้าน เรามีคอมพิวเตอร์ที่บ้านและต่ออินเตอร์เน็ตไว้เราสามารถเรียกข้อมูลจากที่โรงเรียนมาทำที่บ้านได้ เสมือนกับเราทำงานที่โรงเรียนนั่นเอง
3.การโอนถ่ายข้อมูล(File Transfer Protocol หรือ FTP) เป็นบริการอีกรูปแบบหนึ่งของระบบอินเตอร์เน็ต เราสามารถค้นหาและเรียกข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาเก็บไว้ในเครื่องของเราได้ ทั้งข้อมูลประเภทตัวหนังสือ รูปภาพและเสียง
4.การสืบค้นข้อมูล(Gopher,Archie,World wide Web) หมายถึง การใช้เครื่อข่ายอินเตอร์เน็ตในการค้นหาข่าวสารที่มีอยู่มากมายแล้วช่วยจัดเรียงข้อมูลข่าวสารหัวข้ออย่างมีระบบ เป็นเมนู ทำให้เราหาข็อมูลได้ง่ายหรือสะดวกมากขึ้น
5.การแลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็น(Usenet) เป็นการให้บริการแลกเปลี่ยนข่าวสารและแสดงความคิดเห็นที่ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตทั่วโลกสามารถพบปะกัน แสดงความคิดเห็นของตน โดยมีการจัดการผู้ใช้เป็นกลุ่มข่าวหรือนิวกรุ๊ป(Newgroup)แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นหัวข้อต่างๆ เช่น เรื่องหนังสือ เรื่องการเลี้ยงสัตว์ ต้นไม้ คอมพิวเตอร์และการเมือง เป็นต้น ปัจจุบันมี Usenet มากกว่า15,000 กลุ่ม นับเป็นเวทีขนาดใหญ่ให้ทุกคนจากทั่วมุมโลกแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง
6.การสื่อสารด้วยข้อความ(Chat,IRC-Internet Relay chat) เป็นการพูดคุยกันระหว่างผู้ใช้อินเตอร์เน็ต โดยพิมพ์ข้อความตอบกัน ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่ไดัรับความนิยมมากอีกวิธีหนึ่ง การสนทนากันผ่านอินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนเรานั่งอยู่ในห้องสนทนาเดียวกัน แต่ละคนก็พิมพ์ข้อความโต้ตอบกันไปมาได้ในเวลาเดียวกัน แม้จะอยู่คนละประเทศหรือคนละซีกโลกก็ตาม
7.การซื้อขายสินค้าและบริการ(E-Commerce = Eletronic Commerce) เป็นการจับจ่ายซื้อ - สินค้าและบริการ เช่น ขายหนังสือ คอมพิวเตอร์ การท่องเที่ยว เป็นต้น ปัจจุบันมีบริษัทใช้อินเตอร์เน็ตในการทำธุรกิจและให้บริการลูกค้าตลอด24ชั่วโมง ในปี2540 การค้าขายบนอินเตอร์เน็ตมีมูลค่าสูงถึง1แสนล้านบาท และจะเพิ่มเป็น1ล้านล้านบาทในอีก5ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจแบบใหม่ที่น่าสนใจและเปิดทางให้ทุกคนเข้ามาทำธุรกิจได้โดยใช้ทุรไม่มากนัก
8.การให้ความบันเทิง(Entertain) ในอินเตอร์เน็ตมีบริการด้านความบันเทิงในทุกรูปแบบต่างๆ เช่น เกมส์ เพลง รายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ เป็นต้น เราสามารถเลือกใช้บริการเพื่อความบันเทิงได้ตลอด24ชั่วโมงและจากแหล่งต่างๆทั่วทุกมุมโลก ทั้งประเทศไทย อเมริกา ยุโรปและออสเตรเลีย เป็นต้น


โทษของอินเตอร์เน็ต

1.โรคติดอินเทอเน็ต(Webaholic) อินเตอร์เน็ตก็เป็นสิ่งเสพติดหรือ?
การเล่นอินเตอร์เน็ต ทำให้คุณเสียงาน ผู้ใดเป็นผู้ที่ติดการพนัน การติดการพนันประเภทที่ถอนตัวไม่ขึ้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับ การติดอินเตอร์เน็ต เพราะทั้งสองอย่าง เกี่ยวข้องกับการล้มเหลว ในการควบคุมความต้องการของตนเอง โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสารเคมีใดๆ (อย่างสุรา หรือยาเสพติด) ผู้ที่มีอาการอย่างน้อย 4 อย่าง เป็นเวลานานอย่างน้อย 1 ปีถือได้ว่า มีอาการติดอินเตอร์เน็ต
• รู้สึกหมกมุ่นกับอินเตอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อกับอินเตอร์เน็ต
• มีความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้น
• ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตได้
• รู้สึกหงุดหงิดเมื่อต้องใช้อินเตอร์เน็ตน้อยลงหรือหยุดใช้
• ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นวิธีในการหลีกเลี่ยงปัญหาหรือคิดว่าการใช้อินเตอร์เน็ตทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น
• หลอกคนในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตของตัวเอง
• การใช้อินเตอร์เน็ตทำให้เกิดการเสี่ยงต่อการสูญเสียงาน การเรียน และความสัมพันธ์ ยังใช้อินเตอร์เน็ตถึงแม้ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก
• มีอาการผิดปกติ อย่างเช่น หดหู่ กระวนกระวายเมื่อเลิกใช้อินเตอร์เน็ต
• ใช้เวลาในการใช้อินเตอร์เน็ตนานกว่าที่ตัวเองได้ตั้งใจไว้มีผล กระทบต่อการเรียน อาชีพ สภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของคนคนนั้น ถึงแม้ว่าการวิจัยที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า การติดเทคโนโลยีอย่างเช่น การติดเล่นเกมส์ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับเพศชายแต่ผลลัพธ์ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ติดอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง วัยกลางคนและไม่มีงานทำ

2.เรื่องอณาจารผิดศีลธรรม(Pornography/Indecent Content) เรื่องของข้อมูลต่างๆที่มีเนื้อหาไปในทางขัดต่อศีลธรรม ลามกอนาจาร หรือรวมถึงภาพโป๊เปลือยต่างๆนั้นเป็น เรื่องที่มีมานานพอสมควรแล้วบนโลกอินเทอเน็ต แต่ไม่โจ่งแจ้งเนื่องจากสมัยก่อนเป็นยุคที่WWW ยังไม่พัฒนา มากนักทำให้ไม่มีภาพออกมา แต่ในปัจจุบันภายเหล่านี้เป็นที่โจ่งแจ้งบนอินเทอเน็ตและสิ่งเหล่านี้สามารถเข้าสู่เด็ก และเยาวชนได้ง่ายโดยผู้ปกครองไม่สามารถที่จะให้ความดูแลได้เต็มที่ เพราะว่าอินเทอเน็ตนั้นเป็นโลกที่ไร้พรมแดนและเปิดกว้างทำให้สื่อเหล่านี้สามรถเผยแพร่ไปได้รวดเร็วจนเรา ไม่สามารถจับกุมหรือเอาผิดผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้
3.ไวรัส ม้าโทรจัน หนอนอินเตอร์เน็ต และระเบิดเวลา ไวรัส : เป็นโปรแกรมอิสระ ซึ่งจะสืบพันธุ์โดยการจำลองตัวเองให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะทำลายข้อมูล หรืออาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงโดยการแอบใช้สอยหน่วยความจำหรือพื้นที่ว่างบนดิสก์โดยพลการ
ม้าโทรจัน : ม้าโทรจันเป็นตำนานนักรบที่ซ่อนตัวอยู่ในม้าไม้ แล้วแอบเข้าไปในเมืองจนกระทั่งยึดเมืองได้สำเร็จ โปรแกรมนี้ก็ทำงานคล้ายๆกัน คือโปรแกรมนี้จะทำหน้าที่ไม่พึงประสงค์ มันจะซ่อนตัวอยู่ในโปรแกรมที่ไม่ได้รับอนุญาต มันมักจะทำในสิ่งที่เราไม่ต้องการ และสิ่งที่มันทำนั้น ไม่มีความจำเป็นต่อเราด้วยหนอนอินเตอร์เน็ต : ถูกสร้างขึ้นโดย Robert Morris, Jr. จนดังกระฉ่อนไปทั่วโลก มันคือโปรแกรมที่จะสืบพันธุ์โดยการจำลองตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จากระบบหนึ่ง ครอบครองทรัพยากรและทำให้ระบบช้าลง
ระเบิดเวลา : คือรหัสซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นรูปแบบเฉพาะของการโจมตีนั้นๆ ทำงานเมื่อสภาพการโจมตีนั้นๆมาถึง ยกตัวอย่างเช่น ระเบิดเวลาจะทำลายไฟล์ทั้งหมดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2542